วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555


เทคนิค! วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
เชื่อว่าคุณผู้หญิงหลายท่านกำลังมองหาวิธีการกินอาหารลดความอ้วนกันอยู่ใช่ไหมค่ะ และวันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็มี วิธีการกินอาหารลดความอ้วน มาฝากกันด้วยค่ะ อย่าลืมทำตาม วิธีการกินอาหารลดความอ้วน กันอย่างเคร่งครัดเชื่อได้เลยค่ะว่า หุ่นสวย หุ่นดี ไม่ไกลเกินเอื้อมจากความพยายามของคุณผู้หญิงกันอย่างแน่นอนค่ะ และเทคนิค วิธีการกินอาหารลดความอ้วน ที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาแนะนำกันในวันนี้ก็เป็น วิธีการกินอาหารลดความอ้วน ซึ่งก็ง่ายๆ เชื่อว่าคุณผู้หญิงหลายๆ ท่านคงทำตามกันได้ไม่ยากเลยล่ะค่ะ นั้นเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) พาคุณผู้หญิงมาพบกับ 35 วิธีการกินอาหารลดความอ้วน กันเลยดีกว่าไหมจ๊ะ
35 วิธีการกินอาหารลดความอ้วน


1. รับประทานผัก ผลไม้มากๆอย่าละเลยการรับประทานผัก ผลไม้ เด็ดขาดค่ะ เพราะ ผัก ผลไม้ มีทั้งเส้นใยและสารอาหารต่างๆ ที่ดีกับคุณสาวๆ แถมทานมากเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนด้วย2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอดๆ และติดมัน
อาหารทอดๆ มาพร้อมกับน้ำมันที่จะมาทำให้คุณอวบอั๋นขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับอาหารเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น กุนเชียง หมูสามชั้นทอดกรอบ หนังไก่ กากหมู ถ้าไม่อยากอ้วน อดใจไว้ค่ะ
3. ทานดาร์กช็อกโกแลต
ใช่ค่ะคุณหูไม่ฝาดเรากำลังแนะนำให้คุณทานช็อกโกแลต แต่ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทั่วๆ ไปก็ทานได้หรอกนะค่ะ ต้องเป็นดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นถึงจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์และเป็นประโยชน์กับร่างกายของคุณสาวๆ
4. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
แทบจะทุกบทความ ที่แนะนำให้คุณดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จึงช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินให้คุณด้วย ซ้ำยังช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้นด้วย หากคุณดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนทานอาหารทุกครั้ง แต่อย่าชะแว้บ! ไปมอง "น้ำอัดลม" หรือ "น้ำผลไม้" เชียว ยกเว้น "น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง" ที่เราแนะนำให้คุณดื่มได้
5. ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วหลังตื่นนอน
จำและทำให้เป็นนิสัยเพราะการดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ทันทีหลังจากที่คุณเพิ่งตื่นนอนจะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังจะช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบาทำงานได้อย่างคล่องตัว
6. ทานอาหารเช้า
จำได้ไหมว่า อาหารเช้าคืออาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้าหากคุณสาวๆ พลาดอาหารเช้าในช่วงเวลา 6.00-10.00 น. ไปล่ะก็ คุณอาจจะรู้สึกหิวในมื้อต่อๆ ไปมากขึ้น ทีนี้ล่ะคุณอาจจะเผลอตัวเผลอใจสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ยั้งแล้วจะลดน้ำหนักได้อย่างไรล่ะจ๊ะ
7. กินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
การไดเอทไม่ได้สำคัญที่ว่าคุณทานอะไรเข้าไป แต่สำคัญที่ว่าทำไมคุณถึงทานเข้าไปต่างหาก ฉะนั้นแล้วหากใครชอบกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์เพียงเพื่ออยากทานสิ่งนั้นจงเปลี่ยนพฤติกรรมด่วนค่ะ ทานให้แต่พออิ่มจะดีกว่า และควรทานเมื่อเวลาที่หิวจริงๆ
8. ออกกำลังกายสำคัญสุดๆ
แน่นอนว่าหนึ่งในวิธีที่คนทั่วโลกแนะนำก็คือ การออกกำลังกายนี่แหละเพราะมันจะช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาวได้ แถมยังจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงานได้คราวละมากด้วย หากคุณสาวๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอลองหาเวลาเดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน นอกจากคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ดีแล้วยังจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอีกด้วยล่ะ
9. หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท
เขาว่า "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นอย่ามาท้อแท้กับการไดเอทเพียงลำพังเลย ลองหาเพื่อนที่มีแนวคิดเดียวกันแล้วชวนมาลดความอ้วนด้วยกันดีกว่า เพราะการมีเพื่อนหัวอกเดียวกันจะทำให้คุณมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
10. อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น
สาวๆ มักจะชอบซื้ออะไรต่อมิอะไรมาเก็บไว้ในตู้เย็น อ้างว่า เตรียมไว้รับรองแขกบ้าง ไว้เลี้ยงเพื่อนบ้างล่ะ แต่สุดท้ายก็มักจะเหลือเต็มตู้เย็นจนคุณสาวๆ นั่นแหละต้องมาทานเอง เพราะฉะนั้นหากไม่อยากอ้วนกำจัดของกินในตู้เย็นโดยด่วน คุณจะได้ไม่เผลอหยิบติดมือมาทานได้ง่ายเกินไปนั่นเอง แต่ถ้าอยากจะมีอาหารติดในตู้เย็นแนะนำว่า ผักผลไม้และบรรดาอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหลายจะเวิร์กที่สุดค่ะ

วิธีการกินอาหารลดความอ้วน

11.อย่ากินไป ดูทีวีไป
วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
12. ใส่ใจ "ข้าวกล้อง" กันให้มากขึ้น

วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
13. "น้ำตาล" และ "เกลือ" จอมวายร้าย

วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
14. ระวัง!!! สลัดน้ำข้น
วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
15. สรรหาจานสีเข้มๆ
วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
16. ใช้ภาชนะให้เล็กลง
วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
17. ลด ชา , กาแฟ , ครีมเทียม

วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
18. เคี้ยวช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
19. หลีกเลี่ยงไข่แดง ให้ทานไข่ขาว
วิธีการกินอาหารลดความอ้วน
20. อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยการไปทานอาหาร
สอบผ่าน! โปรเจกท์ผ่าน! พรีเซนต์งานผ่าน! ไปฉลองกันดีกว่า!!! หยุดความคิดนี้เลยค่ะ เพราะการที่คุณให้รางวัลกับความสำเร็จของตัวเองด้วยการไปรับประทานอาหารตามใจปากอาจทำให้คุณอ้วนได้เหมือนกัน ทางที่ดีให้รางวัลกับตัวเองด้วยการทำสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ยกเว้นเรื่องกิน!!! เช่น ไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยวพักผ่อน นวดหน้า ทำผม ขัดผิว ฯลฯ จะดีที่สุดค่ะ



21. จำไว้อย่าอด
ใช่ว่าการไดเอทคือการอดอาหาร เพราะยิ่งคุณอดอาหารเท่าไหร่จะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แถมยังทำให้คุณหิวมากขึ้นมากขึ้นจนทำให้คุณสามารถทานได้มากกว่าปกติในมื้อต่อไป

22. แบ่งทานบางส่วนไม่ต้องทานให้หมด
สาวๆ หลายคนบ่นเสียดายอาหารที่อยู่ตรงหน้าไม่อยากเหลือทิ้งไว้ แต่สำหรับกฎเกณฑ์ของการลดความอ้วนคุณไม่จำเป็นต้องทานหมดหรอกค่ะ โดยคุณควรจะแบ่งอาหารในจานไว้ 4 ส่วน แล้วทานเพียงแค่ 3 ส่วนก็เพียงพอแล้ว

23. อย่าทานอะไรหลังมื้อเย็นอีก
ไม่ดีแน่หากคุณทานขนมหรืออาหารอะไรหลังจากคุณทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีคือควรจะให้ร่างกายได้พักผ่อนจากการย่อยอาหารแล้วไปเริ่มทำงานใหม่ในมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า

24. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่า หากคุณพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพออาจจะมีผลกระทบต่อฮอร์โมนเลปตินซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร ดังนั้น อาจทำให้คุณยับยั้งชั่งใจในการรับประทานไม่อยู่และอ้วนขึ้นได้ นอกจากนี้หากคุณนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็สามารถช่วยให้ร่างกายกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้เช่นกัน

25. ทานหลายๆ มื้อเล็กๆ ในหนึ่งวัน
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การทานอาหาร 4-5 มื้อเล็กๆ ในแต่ละวัน จะช่วยควบคุมระบบการเผาผลาญและความอยากอาหารได้ดีกว่าการทานอาหารมื้อปกติ 3 มื้อ โดยระหว่างมื้ออาหารคุณอาจทานสแน็กหรือผลไม้เพื่อให้คุณอิ่ม และไม่หิวมากจนกระทั่งถึงมื้อต่อไป ทีนี้ในมื้อต่อไปคุณก็จะทานอาหารได้น้อยลงแล้ว

26. โปรตีนตัวช่วยลดความอ้วนในทุกๆ มื้อ
มีคำแนะนำให้ในแต่ละมื้ออาหารต้องมีอาหารประเภทโปรตีนผสมด้วย เพราะโปรตีนจะช่วยคงสภาพกล้ามเนื้อและกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น โดยโปรตีนที่แนะนำก็คือ อาหารจำพวกถั่ว นม โยเกิร์ตนั่นเอง

27. เผ็ดหน่อยอร่อยดี
การศึกษาพบว่า "พริก" ช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญจึงมีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้การกินพริกจะไม่ทำให้รู้สึกอยากกินหวานอีก รับรองว่า กินพริกแล้วลืมเรื่องความอ้วนไปได้เลย

28. ดื่มชาเขียว
มหาวิทยาลัยสวิสเซอร์แลนด์พบว่า การดื่มชาเขียวเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดน้ำหนักเพราะจะช่วยเรื่องการเผาผลาญแคลอรี่ได้ ดังนั้นควรพยายามดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า ต้องเป็นชาเขียวบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ใช่ชาเขียวในขวดที่มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณมากแบบนี้ลดความอ้วนไม่ได้แน่นอนค่ะ

29. ดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วน
หากไม่ชอบดื่มชาเขียวจะลองหันมาดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วนได้เพราะนมเป็นแหล่งอุดมไปด้วยแคลเซียมซึ่งมีการศึกษาพบว่า การที่ร่างกายได้รับวิตามินดีและแคลเซียมสูงจะช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงได้แถมนมยังทำให้เรารู้สึกอิ่มจนไม่อยากทานอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่มีน้ำตาลด้วย

30. อ่านฉลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ด้วยล่ะ
ก่อนซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มลองอ่านรายละเอียดที่ติดอยู่ข้างผลิตภัณฑ์ หีบห่อ ฯลฯ ดูก่อนทุกครั้ง เพราะมันจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีแคลอรีสูงหรือไขมันสูงได้ แต่ขอย้ำว่ายามใดที่ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตควรหลีกเลี่ยงการไปเดินในบริเวณที่ขายคุ้กกี้ พิซซ่าแช่แข็ง และไอศกรีม เพราะคุณอาจจะไม่ทันได้อ่านฉลากข้างกล่องก็ซื้อมันได้ง่ายๆ เพราะติดใจในความอร่อยของมันนั่นเอง

31. จดบันทึกประจำวันให้เป็นนิสัย
แต่ละวันคุณกินอะไรไปบ้างลองจดบันทึกไว้ทุกๆ สัปดาห์ดูสิ เพราะมันจะช่วยให้คุณยับยั้งชั่งใจและควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้ดีเลยทีเดียว

32. ทานผลไม้สดดีกว่าผลไม้ดองหรือน้ำผลไม้ปั่น
น้ำผลไม้ปั่นมักผสมน้ำเชื่อม น้ำตาล ทำให้คุณสาวๆ ได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็น ขณะเดียวกัน ผลไม้ดอง ก็อาจมีสารแซคคารีนหรือที่เรียกว่าขัณฑสกรผสมอยู่ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้วิตามินที่ครบถ้วน เลือกทานผลไม้สดดีกว่าแน่นอนค่ะ

33. ความเครียด คือ จุดอ่อน
รู้ไหมคะว่าเมื่อฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นก็ทำให้ความต้องการอาหารในร่างกายเพิ่มขึ้นหรือทำให้หิวนั่นเองแถมหิวบ่อยชนิดที่ไม่รู้ตัวเลยด้วย เพราะคนเครียดส่วนใหญ่มักจะจมอยู่กับความเครียดจนลืมสังเกตพฤติกรรมการกินของตัวเอง ดังนั้นทำตัวเองให้ห่างไกลจากความเครียดเถอะค่ะ

34. หัวเราะช่วยลดความอ้วน
งานวิจัยระบุว่า การหัวเราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นขณะเราหัวเราะจะหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปได้มากขึ้นทำให้กล้ามเนื้อท้องได้ออกกำลังไปในตัว

35. ชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง
ไม่จำเป็นที่คุณจะรีบร้อนชั่งน้ำหนักตัวทุกๆ วัน เพราะหากคุณลดไม่ได้ดังใจปรารถนาแล้วจะยิ่งทำให้คุณเครียดเสียเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ชั่งน้ำหนัก และเปลือยกายสำรวจตัวเองในห้องน้ำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้วล่ะ


อ้างอิงจากเว็บ change slim


ผลกระทบจากโรคอ้วน มีอะไรบ้างนะ

ผลกระทบจากโรคอ้วน


                                                          อ้างอิงจากเว็บ  บ้านพุด

     กล่าวถึงโรคอ้วน เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น อาหาร พันธุกรรม ยา การพักผ่อนน้อย การไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้สุขภาพเสียและมีโรคแทรกซ้อนมากขึ้น ทางที่ดีอย่างทำตัวเองให้อ้วนมาดูผลกระทบจากโรคอ้วนมีอะไรกัลบ้างนะ

1. ความดันโลหิตสูง คนอ้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคความดันโลหิตสูง กว่าคนไม่อ้วน 2-9 เท่า และถ้าน้ำหนักตัวลดลงความดันโลหิตก็จะลดลงด้วย

2. โรคเบาหวาน คนอ้วนเล็กน้อยจะมีโอกาสเกิดโรคเบาหวานได้มากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า คนอ้วนปานกลางจะมีโอกาสเป็น โรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 5 เท่า และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในคนที่อ้วนมากๆ

3. ความผิดปกติของระดับไขมันในหลอดเลือด คนอ้วนมักจะมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และเอชดีแอลต่ำ จึงจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อโรคหัวใจขาดเลือด

4. โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคหลอดเลือดสมองตีบตันได้มากกว่าคนไม่อ้วน

5. โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ คนอ้วนมากจะทำให้เกิดความผิดปกติ ในการหายใจเข้าออกและกระบังลม ผลคือเกิดภาวะขาดออกซิเจน เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่านอนหงายจะมีอาการหายใจลำบาก บางครั้งหยุดหายใจเป็นพักๆ เวลานอนหลับ มีอาการปวดศีรษะในตอนเช้า ในเวลากลางวันจะมีอาการง่วงนอน หายใจช้า ระยะต่อไปหัวใจซีกขวาล้มเหลวและอาจเสียชีวิตได้

6. โรคข้อเสื่อม คนอ้วนจะมีอาการของข้อเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม ปวดเข่า ปวดหลัง เนื่องจากข้อต่างๆ ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้ คนอ้วนมักจะมีระดับกรดยูริคในเลือดสูงกว่าปกติและมีโอกาสเป็นโรคเก๊าต์มากขึ้น

7. โรคถุงน้ำดี คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูงกว่าคนไม่อ้วน 3-4 เท่า

8. โรคมะเร็งบางชนิด จากการศึกษาพบว่า คนที่เป็นโรคอ้วนจะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่อ้วน เช่น โรคมะเร็งที่เกี่ยวกับฮอร์โมน และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร มะเร็งของเยื่อบุมดลูก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งถุงน้ำดี

9. ปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เช่น โรคเชื้อราที่ผิวหนัง เส้นเลือดขอด อาการท้องผูก การคลอดบุตรมีปัญหา แผลผ่าตัดอาจจะหายช้ากว่าปกติ เป็นต้น


อ้างอิงจากเว็บ  ผลกระทบจากโรคอ้วน

อ้างอิงจากเว็บ ผลกระทบโรคอ้วน

สาเหตุที่ทำให้อ้วน มีอะไรบ้างนะ !!!!

สาเหตุของโรคอ้วน

ภาพอ้างอิงจากเว็บ ถั่วแดงความลับลดอ้วน

     โรคอ้วน เป็น โรคที่เกิดจากร่างกายสะสมพลังงานจากอาหารที่เรากิน มากกว่า การที่มันจะเผาผลาญมันออกไปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน  อาหารเกือบทุกชนิดที่เรากินเข้าไป จะมีพลังงานเคมีในตัวของมัน เมื่อเรากินมันเข้าไป ร่างกายของเราก็จะเปลี่ยนอาหารให้เป็น น้ำตาล, แป้ง, และไขมัน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ ร่างกายสามารถนำกลับมาใช้เป็นพลังใหม่ได้ทั้งสิ้น

                เมื่อเราทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน, การทำงาน, แม้กระทั่ง การหายใจ เราจำเป็นต้องใช้พลังงาน พลังงานที่ร่างกายสะสมไว้จากอาหารก็จะถูกนำมาใช้ โดยร่างกายจะเริ่มดึงพลังงานจากสารอาหารประเภทน้ำตาลก่อน หากยังไม่พอ ก็จะไปดึงสารอาหารจาก แป้ง และน้ำตาลเป็นลำดับ

                หากเราทำกิจกรรมมากกว่าพลังงานที่เราได้รับจากอาหารในวันนั้น พลังงานสะสมก็จะถูกนำมาใช้ ซึ่งอาจมีผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง และในทางกลับกัน หากเรากินอาหารมากกว่า กิจกรรมที่เราทำในแต่ละวัน ร่างกายก็จะเปลี่ยนพลังงานจากอาหารให้อยู่ในรูปของ น้ำตาล, แป้ง, และไขมัน  แม้ว่าขบวนการนี้จะมีผลต่อน้ำหนักของเรา แต่การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักก็เป็นไปทีละน้อย เราไม่สามารถที่จะเป็นโรคอ้วนได้ภายในระยะเวลา วันสองวัน แต่การละเลยต่อสุขภาพ ในระยะเวลายาวนานเป็นเดือน หรือ ปี จะสามารถส่งผลให้เป็นสาเหตุของโรคอ้วนได้



ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคอ้วน :

การไม่ออกกำลังกาย : โลกาภิวัฒน์ รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนเปลี่ยนไป เช่น รถยนต์, รถไฟ, รถไฟฟ้า ทำให้ผู้คนได้รับความสดวกสบายมากขึ้น ทำให้เดินน้อยลง ทุกบ้านในสมัยนี้มีโทรทัศน์กันเกือบแทบทุกหลัง ทำให้คนสมัยใหม่หลายคน ติดโทรทัศน์ และ เกมส์คอมพิวเตอร์ มีการวิจัยทางการแพทย์ที่แสดงว่า คนที่ดูโทรทัศน์มากว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสเป็นโรคอ้วนได้สูงกว่าคนที่ไม่ดู นอกจากโรคอ้วนแล้ว การที่กิจวัติประจำวันของเรา ขาดการออกกำลังกาย ยังทำให้โอกาสที่จะเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคเปาหวาน, มะเร็ง, และโรคหัวใจ มีโอกาสสูงขึ้นอีกด้วย

กรรมพันธุ์ : พันธุกรรม มี ส่วนทำให้เป็นโรคอ้วนได้ง่ายขึ้น เช่น ถ้า พ่อหรือแม่ เป็นคนอ้วน ลูกก็จะมีโอกาสอ้วนได้ง่าย ยีนในร่างกายของเรา มีส่วนกำหนดให้ ร่างกายสะสมไขมันไว้มากเท่าใด และ ควรจะเก็บไขมันไว้ที่ไหน เช่น บางคนที่จะเริ่มอ้วน ก็จะเริ่มจากที่หน้าท้องก่อน บางคนก็จะเริ่มจากที่ต้นขา หรือ แขนเป็นต้น
นอกจากนี้ คนในครอบครัว มักจะมีพฤติกรรมการกินที่คล้ายๆกัน เช่น ถ้าพ่อและแม่ กินอาหารที่มีไขมันสูง และไม่ออกกำลัวกาย บุตรหลานในครอบครัว ก็มักจะมีนิสัยในการเลือกกินอาหารประเภทเดียวกัน

ปัญหาสุขภาพโรคบางโรคส่งผลทำให้เกิดเป็นโรคอ้วนได้ง่าย เช่น โรคที่เกี่ยวกับการทำงานผิดปรกติของต่อมไทรอยด์ (hypothyroidism)  หรือ รังไข่  (Polycystic Ovarian Syndrome) โรคเหล่านี้อาจทำให้ ฮอร์โมนบางตัวขาดไป และส่งผลให้ขบวนการเผาผลาญพลังงานของบุคคลนั้นทำงานได้ช้าลง เป็นต้น

ยาบางชนิด : ยาบางกลุ่ม มีผลต่อน้ำหนัก เช่น ยากันชัก, ยาทำให้ไม่ซึมเศร้า ยาเหล่านี้ก็อาจฤทธิ์ทำให้ขบวนการเผาผลาญพลังานทำได้ช้าลง

อายุเมื่อเรามีอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อจะอ่อนแอลง ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อ จะทำให้เรามีกิจกรรมน้อยลง และ การเผาผลาญพลังงานของร่างกายทำได้ช้าลง แต่คนส่วนมายังกินอาหารในปริมาณที่เท่าเดิม ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วน
                โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยทอง เมื่อประจำเดือนใกล้จะหมด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มีผลทำให้น้ำหนักขึ้นได้

การสูบบุหรี่ :   บางคนที่กำลังพยายามเลิกบุหรี่ มักพบว่าน้ำหนักของตัวเองเพิ่มขึ้น สาเหตุอาจจะมากจากการที่จมูกของคุณทำงานได้ดีขึ้น เมื่อเลิกบุหรี่ ทำให้อาหารมีกลิ่นที่ดีขึ้น และ นิโคติน มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดี การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อสุหรี่อย่างใหญ่หลวง การเลิกบุหรี่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าโอกาสที่จะมีน้ำหนักขึ้นชั่วคราวเพียงเล็กน้อย

การนอนไม่เพียงพอ :   การนอนไม่เพียงพอ สามารถส่งผลทำให้อ้วนได้ คนที่นอนเพียง 5 ชั่วโมงต่อคืน จะมีโอกาสอ้วนมากกว่า คนที่นอน 7-8 ชั่วโมงต่อคืน สาเหตุหนึ่งก็คือ ฮอร์โมนบางตัวจะถูกปล่อยออกมาเฉพาะขณะที่กำลังหลับ เช่น อินซูลิน ที่ควบคุมระดับ น้ำตาลกลูโคสเป็นต้น  คนที่นอนไม่พอจะมีระดับของอินซูลินต่ำ นอกจากนี้ คนที่นอนไม่พอมักจะพบฮอร์โมน ที่ชื่อว่า gherlin ในระดับที่สูง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะกระตุ้น ความอยากอาหาร และ ฮอร์โมนที่ขื่อว่า leptin ต่ำ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่ม


อ้างอิงจากเว็บ Sukapapdeedee

อาหารที่เหมาะกับคนอ้วนมีอะไรบ้างนะ ลองกินดูนะ ^-^

อาหารที่เหมาะกับคนอ้วน

    กล่าวถึงคนอ้วนมักมีกระเพาะที่ใหญ่กว่าคนปกติเนื่องจากกระเพาะถูกยืดจากอาหาร   ดังนั้นจึงมีอาการหิวบ่อยทำให้การควบคุมอาหารประสบผลสำเร็จน้อยแต่อย่าเพิ่งย่อท้อ ให้พยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกายไว้เสมอ
    ดิฉันแนะนำอาหารที่เหมาะสำหรับคนอ้วน จำพวกต้ม นึ่ง ยำ อาหารพวกนี้มีแคลอรีต่ำ กินแล้วไม่อ้วน  เว้นอาหารจำพวกทอด ผัด ย่าง อาหารจำพวกนี้แคลอรี่สูง การเผาผานยากกว่าจึงทำให้ไขมันสะสมอยู่ในตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรามีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น   แน่นอนการลดความอ้วนต้องอาศัยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อร่างกายที่แข็งแรง ของเราวันนี้ดิฉันแนะนำ 5 เมนูสำหรับคนอ้วนที่ไม่อยากมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก

5 เมนูสำหรับคนอ้วน 

เมนูยำผลไม้รวม

ส่วนผสม

- ส้มโอ 2-3 ซีก

- แอปเปิลเขียว 2 ลูก

- แอปเปิลแดง 2 ลูก

- แครอต ½ หัว

- องุ่นสีเขียวและม่วง 10 ลูก

- หอมแดง 2-3 หัว

- กระเทียม 2-3 กลีบ

- กุ้งตัวเล็ก 4-5 ตัว

ส่วนผสมน้ำยำ

- กระเทียม 2-3 กลีบ

- พริกขี้หนู 10 เม็ด

- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

- น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา

วิธีทำ

1. ล้างผลไม้ที่เตรียมไว้ให้สะอาด

2. นำแอปเปิลทั้งเขียวและแดงมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะวิตามินส่วนใหญ่จะอยู่ที่เปลือก

3. นำส้มโอมาแกะเป็นเส้นเล็กๆ ผ่าซีกองุ่นเอาเมล็ดออกให้หมด

4. นำแครอตที่ล้างแล้วมาขูดเปลือกออก แล้วหั่นแครอตเป็นเส้นฝอยๆเล็กๆ

5. เจียวกระเทียมให้หอม หั่นหอมแดงเป็นแว่นๆ บางๆ แล้วนำไปเจียวให้หอม

6. ล้างกุ้งให้สะอาด นำกุ้งไปต้มให้สุก หรือลวกก็ได้แล้วแต่ความชอบ

7. นำส่วนผสมทั้งหมดใส่รวมกันแล้วราดด้วยน้ำยำ คลุกเคล้าเบาๆให้เข้ากัน

วิธีทำน้ำยำ

1. ตำน้ำพริกกับกระเทียมจนแหลก

2. ใส่น้ำมะนาว น้ำปลา และน้ำตาลทรายในถ้วย

3. นำกระเทียมและพริกที่ตำเอาไว้มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ

เคล็ดไม่ลับ

หากกลัวสารเคมีที่อยู่ในเปลือกแอปเปิล ให้แช่แอปเปิลในน้ำนานๆ

 

เมนูต้มส้มปลาทู


 

ส่วนผสม

- ปลาทูสด 2 ตัว

- น้ำสะอาด 2 ถ้วย

- ขิงอ่อนซอยเส้นยาวๆ ¼ ถ้วยตวง

- ต้นหอมหั่นเป็นท่อนยาว 1 นิ้ว 2-3 ตัน

- น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ

- น้ำมะขามเปียก ผักชี พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเป็นเส้น

ส่วนผสมเครื่องแกง

- พริกไทยเม็ด 15-20 เม็ด

- หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ

- กะปิ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. นำพริกไทยเม็ด หอมแดงซอย และกะปิโขลกเข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วยพักไว้

2. ล้างปลาทู ตัดเป็น 2 ส่วน แยกเป็นหัวกับหาง ควักไส้ออกจนหมด แล้วล้างอีกครั้งให้สะอาด ใส่จานพักเอาไว้

3. นำหม้อตั้งไฟใส่น้ำต้มให้เดือดด้วยไฟปานกลาง แล้วใส่เครื่องแกงที่เตรียมไว้ คนให้ละลาย

4. พอน้ำเดือดอีกครั้งใส่ปลาทูลงไป ปิดฝาหม้อเอาไว้ ต้มต่อไปจนปลาทูสุก ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำมะขามเปียก และขิงซอย คนเบาๆให้ทั่ว ชิมรสให้ออกเปรี้ยว เค็ม หวาน ก่อนปิดไฟใส่ต้นหอม

5. ตักใส่ชาม ตกแต่งด้วยใบผักชี และพริกชี้ฟ้าหั่น


เมนูแกงผักหวาน

เครื่องปรุง
- ผักหวานป่า 100 กรัม
- วุ้นเส้น 50 กรัม
 ปลาแห้ง 50 กรัม
- น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
ส่วนผสมเครื่องแกง
- พริกชี้ฟ้าแห้ง 5 เม็ด
- กระเทียม 5 กลีบ
- หอมแดง 5 หัว
- กะปิ 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด ตักพักไว้
2. ต้มน้ำพอเดือด ละลายเครื่องแกงในน้ำเดือด ใส่ปลาแห้ง ต้มจนปลานุ่ม ตามด้วยผักหวานป่า ต้มผักจนสุก
3. ใส่วุ้นเส้น คนให้เข้ากัน ปิดไฟตักใส่ชาม
เคล็ดลับในการปรุง
ผักหวานป่าจะสุกช้ากว่าผักหวานบ้าน ควรต้มผักหวานให้นานกว่าจนผักนิ่ม แต่ไม่เหลือง

เมนูแกงส้มผักรวมกุ้งสด


เครื่องปรุง
- กุ้งชีแฮ้ดำผ่าหลังชักเส้นดำออก 6 ตัว
- กะหล่ำปลีหั่นเป็นชิ้น 1 ถ้วย
- หัวไชเท้าหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 ถ้วย
- กะหล่ำดอก 1 ถ้วย
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำเปล่า 3 ถ้วย
- น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
เครื่องพริกแกง
- พริกแห้งแกะเอาเมล็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด
- หอมแดง 7 หัว
- กระเทียม 1 หัว
- กระชาย 1 ช้อนชา
- กะปิ 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงทุกอย่างรวมกันให้ละเอียดพักไว้
2. ใส่น้ำลงในหม้อ แล้วนำขึ้นตั้งไฟ นำเครื่องแกงลงไปละลายในน้ำพอเดือดอีกครั้ง
3. ใส่หัวไชเท้า พอหัวไชเท้าเริ่มนุ่ม ใส่กุ้ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ลงไป
4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก ชิมรสให้มีรสเปรี้ยวนำเล็กน้อย
5. รอจนเดือดอีกครั้งจึงปิดไฟ ตักใส่ชามได้เลย

เมนูยำถั่วพู

เครื่องปรุง
- ถั่วพู (หั่นขวางเป็นชิ้นเล็กๆ) 250 กรัม
- เนื้อหมูสับ 100 กรัม
- กุ้งขนาดกลาง 5 ตัว
- กะทิ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
- ถั่วลิสงคั่วบด 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
- หอมเจียวแดง (สำหรับโรยหน้า) 2 ช้อนโต๊ะ
- เนื้อมะพร้าวฝอย 50 กรัม
- ไข่ไก่ต้ม (หั่นเป็น 4 ส่วน) 1 ฟอง
- น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
- พริกแห้ง (สำหรับแต่งหน้า)
วิธีทำ
1. นำหมูสับลวกในน้ำร้อนจนสุก เสร็จแล้วนำออกมาสะเด็ดน้ำให้แห้ง จากนั้นจึงลวกกุ้งให้สุกและนำออกมาสะเด็ดน้ำเช่นกัน
2. นำถั่วพูที่หั่นแล้วไปลวกในน้ำร้อนประมาณ 3 นาทีจนสุก จึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ
3. แล้วผสมน้ำยำโดยนำกะทิ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำตาลทราย และน้ำมะนาวเข้าด้วยกันในชามขนาดปานกลาง คนจนเข้ากันดี
4. ใส่หมูสับ และกุ้งที่ลวกไว้ลงตามไป คนจนหมูและกุ้งผสมเข้ากันดีกับเครื่องปรุง
5. จากนั้นใส่เนื้อมะพร้าวฝอย ถั่วลิสงบดและถั่วพูลงไป คนจนเข้ากันทั่ว จึงตักใส่จาน แต่งหน้าด้วยกะทิสด 1 ช้อนโต๊ะ หอมแดงเจียว พริกแห้ง และไข่ต้มที่หั่นเตรียมไว้ เสิร์ฟทันที
อ้างอิงจากเว็บ   เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
 

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

เทคนิคการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

ภาพอ้างอิงจากเว็บ Eazy 2 Diet

      การออกกำลังกายเป็นวิธีการทำให้ร่างกายแข็งแรง และสุขภาพดี การออกกำลังอาจมีหลายชนิดเช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิก การเข้าฟิสเนต  เป็นต้น  แต่การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักมันแตกต่างจากพวกออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลาย เพราะจำเป็นต้องมีการศึกษาที่ดีแล้ว ผู้ที่สนใจลดน้ำหนักต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ ตั้งใจที่จะลดจริงๆ  และที่สำคัญต้องมีเทคนิคในการออกกำลังกายด้วย    มีดังนี้

1.      รูปแบบการออกกำลังกาย (Type)สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและควบคุมน้ำหนักตัว ควรเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายประเภทแอโรบิก หรือการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเดิน การวิ่งเหยาะ ๆ การขี่จักรยานแบบนั่งอยู่กับที่ การว่ายน้ำ หากของออกกำลังกายเป็นกลุ่มก็เข้าร่วมกิจกรรมการเต้นแอโรบิก การฝึกไท้เก๊ก การฝึกโยคะ เป็นต้น โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับตนเอง และคำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัย รวมทั้งความยากง่ายด้วย และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกหรือมีการเปลี่ยนแปลงจังหวะทิศทางเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ซึ่งจะมีผลต่อข้อเข่าข้อเท้าทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ 

2. ระยะเวลาในการออกกำลังกาย (Duration)หากต้องการให้ร่างกายให้พลังงานหรือเผาผลาญไขมันได้มาก ควรให้ระยะเวลาในการออกกำบังกายยาวนานโดยเรียนรู้ระดับความเหน็ดเหนื่อยที่เหมาะสมด้วยตัวเอง เช่น หากไม่สามารถพูดคุยโต้ตอบกันได้ในขณะออกกำลังกาย แสดงว่าการออกกำลังกายนั้นหนักเกินไป ซึ่งไม่สามารถออกกำลังกายได้นาน สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการออกกำลังกาย ควรเริ่มการออกกำลังกายโดยใช้เวลาไม่นานนัก ประมาณ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เมื่อคุ้นเคยหรือมีสมรรถภาพร่างกายดีแล้ว จึงปรับเวลาให้การออกกำลังกายเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งสามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 30-45 นาที หรือนานกว่าประมาณ 4-6 ครั้งต่อสัปดาห์

3. ความหนักในการออกกำลังกาย (Intensity)ควรออกกำลังกานให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตัวเอง ไม่ควรทำหรือล้อเลียนแบบผู้อื่น เพราะการออกกำลังกายที่ดูว่าเบาสำหรับคนอื่น อาจจะกลาเป็นหนักสำหรับเรา จึงควรเลื่อนกระดับความหนักให้เหมาะสมกับตนเอง ด้วยการคำนวณจากอัตราเต้นชีพจรสูงสุดดังนี้           
ตัวอย่าง นาย ก อายุ 40 ปี ต้องการออกกำลังกายที่ระดับความน้ำหนัก 60-70 % ของอัตราการเต้นชีพจรสูงสุดนาย ก. ควรออกกำลังกายให้เหนื่อยที่ระดับหัวใจเต้นที่ครั้งต่อนาที มีวิธีคำนวณดังนี้ 
อัตราการเต้นชีพจรสูงสุดของนาย ก.                 =   220 – อายุ นายกอ
                                                                   
=   220 -40 = 180 ครั้งต่อนาที
การออกกำลังกายที่ระดับความหนัก 60 %         =   180 x 0.60 = 108 ครั้งต่อนาทีารออกกำลังกายที่ระดับความหนัก 70 %         =   180 x 0.70 = 126 ครั้งต่อนาที            
ดังนั้น การออกกำลังกายของ นาย ก. ควรให้เหนื่อยที่ระดับหัวใจเต้นประมาณ 108-126 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นความหนักที่ระดับ 60 – 70 % ของอัตราการเต้นชีพจรสูงสุดของ นาย ก. โดยร่างกายจะดึงไขมันออกมาใช้เป็นพลังงานในการเคลื่อนไหวคณะออกกำลังกาย 

4. ความบ่อยครั้งในการออกกำลังกาย (Frequency) ผู้ออกกำลังกายที่ต้องการลดน้ำหนักเร็ว พึงระลึกไว้เสมอว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือแบบใช้ออกซิเจนเป็นพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน หรือเต้นแอโรบิก ฯลฯ ยิ่งทำได้นานและบ่อยครั้งมากเท่าใด ยิ่งช่วยเผาผลาญและลดไขมันในร่ายกายได้มากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ควรมีวันพักหรือหยุดออกกำลังกาย อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์และออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ 

อ้างอิงจากเว็บ FoodHouse : All About Food

ภาพอ้างอิงจากเว็บ  Lady Tip